การชนะตนเอง
ในทรงพระพุทธศาสนานั้น สอนว่า การชนะผู้อื่นมากสักเท่าไร ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับ การชนะตนเอง เพราะเหตุว่า การชนะผู้อื่นนั้น เป็นการชนะที่ก่อให้เกิดศัตรู ผู้แพ้ย่อมมีความรู้สึกไม่ดี มีความคิดเป็นปรปักษ์ ปรารถนาจะเป็นผู้ชนะ และ หาหนทาง หาวิธี ในการตอบโต้ หรือ ต่อสู้กลับ เพื่อให้ตนเองเป็นผู้ชนะ ทำให้ต้องต่อสู้กันไปมา เป็นการสร้างความอาฆาตพยาบาท สร้างความเกลียดชัง จองเวรจองกรรมกันไป ไม่มีที่สิ้นสุด เพียงเพื่อสนองกิเลสในใจ ในความอยากมีชัยชนะของตนเองเท่านั้น แต่การชนะตนเอง จะนำมาซึ่งความสุข ความสงบในใจ ไม่มีการ พยาบาท อาฆาต จองเวรกับผู้ใด เพราะ เป็นการเอาชนะ กิเลสในใจของตนเอง เป็นการเอาชนะจิตใจฝ่ายต่ำ จิตใจที่คิดทำชั่ว คิดทำผิดศีลธรรม เป็นการควบคุมตนเอง ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ให้ประพฤติ ปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงาม ตามหลักพระพุทธศาสนา ชัยชนะนี้ต่างหาก ที่เป็ันชัยชนะอันประเสริฐ หากชนะตนเองไม่ได้ ชนะกิเลสไม่ได้ ก็จะเป็นผู้แพ้อยู่ตลอดไป เพราะ กิเลสจะเข้าครอบงำจิตใจ และ พอกพูนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีแต่แพ้ ไม่มีทางชนะ
ในทางพระพุทธศาสนานั้น มีกิเลสที่เป็นตัวหลัก อยู่ 3 ชนิด คือ โลภะ(ความโลภ), โทสะ(ความโกรธ), และ โมหะ(ความหลง)
การจะเอาชนะโลภะ หรือ ความโลภนั้น ให้คิดเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สิ่งที่มี ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งที่เป็น สิ่งที่จับต้องได้ เช่น เงินทอง ของใช้ อาหารการกิน ฯลฯ และ สิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น คำแนะนำ ความรู้ ความใส่ใจ ฯลฯ ไม่คิดอยากได้ของของคนอื่น พอใจในสิ่งที่ตนมี
การเอาชนะโทสะ หรือ ความโกรธนั้น ให้หมั่นตั้งจิตเจริญเมตตาให้มากๆ ส่งความรัก ความปรารถนาดี ให้ผู้อื่นมากๆ ระลึกอยู่เสมอว่า ความโกรธนั้น ทำลายล้างเผาผลาญใจตนได้มากกว่าผู้อื่น ยิ่งโกรธมากเท่าไหร่ จิตใจก็ยิ่ง ร้อนรน รุ่มร้อน มากขึ้นเท่านั้น หาความสงบไม่ได้
การเอาชนะโมหะ หรือ ความหลงนั้น ต้องเจริญจิตตภาวนา พยายามฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เรียนรู้ ทำความเข้าใจ นำไปฝึกฝน ปฏิบัตาม การฝึกฝน ปฏิบัติธรรม ตั้งจิตภาวนา เจริญวิปัสสนา จนสามารถดับกิเลสได้ เอาชนะกิเลสในใจได้นั้น ถือเป็นชัยชนะอันประเสริฐที่สุด
การเอาชนะกิเลสทั้ง 3 ชนิดนี้ได้นั้น เป็นการชนะที่ไม่ก่อเวรใดๆ ทั้งต่อตนเอง และ ต่อผู้อื่น เป็นการชนะที่ ได้ชื่อว่า การชนะตนเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น